กมลศักดิ์ ส.ส.นราธิวาส จวกแผนจัดสรรงบฯ แก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ ไม่ตอบโจทย์สภาพความเป็นจริง ชี้ชัดทุกวันนี้คนสามจังหวัดฯ ยากจนลงขึ้นทุกวัน นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาชาติ กล่าวในที่ประชุมรัฐสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 วาระแรก ที่ต่อเนื่องเป็นวันที่สอง เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยได้อภิปรายถึงการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ของการแก้ปัญหาพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ระบุชัด เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุดและไม่ตอบโจทย์สภาพควารมเป็นจริงและผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่
สำหรับแผนงานบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
จัดสรรงบไว้ที่ 7,144.3 ล้านบาท อย่างไรก็ตามงบดับไฟใต้ที่ไม่ได้รวมอยู่ในแผนบูรณาการยังกระจายอยู่ในแผนงานอื่นๆ และหน่วยงานอื่นๆ อีกมาก อาทิ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ กอ.รมน. ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. รวมถึงเหล่าทัพต่างๆ ที่มีกำลังพลลงไปปฏิบัติภารกิจอยู่ในพื้นที่ และกระทรวงมหาดไทยที่รับผิดชอบกองกำลัง อส. (อาสารักษาดินแดน) เป็นต้น
นายกมลศักดิ์ กล่าวว่าสิ่งที่จำเป็นสำหรับการแก้ปัญหาในตอนนี้ คือ เรื่องของเศรษฐกิจ ผลกระทบจากโควิด-19 และการศึกษา แต่งบประมาณที่รัฐบาลกำลังจัดสรรให้นั้นเป็นการมองคนสามจังหวัดเป็นภัยต่อความมั่นคงมาโดยตลอด
“ผลกระทบจากสถานการณ์ที่ผ่านมาก็ยังอยู่ แต่การจัดสรรงบประมาณหาได้ตอบโจทย์ตามที่ผมได้กล่าวถึงปัญหาใหม่ คนในพื้นที่เขาบอกว่าเขาต้องการอาหารกลางวัน ถามในฐานะที่เป็นคนหน้างานต้องเข้าเวรดูแลความสงบเรียบร้อยทำงานหนักกว่าภาคอื่นเขาก็ต้องการสวัสดิการจากกระทรวงมหาดไทย ถามคนทำมาค้าขายเขาก็ต้องการพื้นที่ขายของ” นายกมลศักดิ์ กล่าวในการอภิปราย
ขณะเดียวกัน นายกมลศักดิ์ ยังพูดถึงการจัดงบประมาณปี 2565 ให้กับ กอ.รมน. เพื่อสร้างกำแพงบริเวณลุ่มแม่น้ำ โก-ลก อ.ตากใบ จ.นราธิวาส โดยปี 2565 จัดสรรงบ 128 ล้านบาท ซึ่งพบว่าเป็นงบผูกพัน 3 ปี
โดยในปี 2566 จัดงบฯ 256 ล้านบาท และ ปี 2567 จัดงบฯ 256 ล้านบาท รวมเป็นงบฯทั้งหมด 640 บาท สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไม่เข้าใจวิถี ประเพณีและวัฒนธรรมของชนชาติมาลายู และ พี่น้องมาเลเซีย แทนที่จะจัดสรรงบเพื่อแก้ปัญหาประชาชน แต่กลับใช้งบเพื่อสร้างกำแพง ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาความมั่นคงที่ไม่ตอบโจทย์ และสะท้อนให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมไม่เข้าใจประชาชนในพื้นที่
ทั้งนี้รายงานความยากจนและความเหลื่อมล้ำของประเทศไทย ระหว่างปี 2558 – 2561 จากช้อมูลของ ธนาคารโลก ระบุ จังหวัดที่มีอัตราความยากจนสูงสุด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ปัตตานี กาฬสินธุ์ นราธิวาส และตาก โดย 2 ใน 5 ของจังหวัดที่มีอัตรายากจนสูงสุดในประเทศไทยอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้
ชูวิทย์ งง! รัฐบาล ยกเลิกคำสั่งไปมา ชี้ ไม่ควรสร้างความสับสนในภาวะวิกฤติ
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ออกมาแสดงความคิดเห็นในกรณีที่ รัฐบาล ทำการยกเลิกคำสั่งผ่อนปรนของทาง กทม. โดยชี้แจงว่า ในสภาวะวิกฤติเช่นนี้ไม่ควรมีการทำให้เกิดความสับสนแก่ประชาชน หลังจากที่ได้เกิดกรณีที่ ศบค. หน่วยงานบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาล ได้ทำการยกเลิกในส่วนของคำสั่งผ่อนปรนธุรกิจจำนวน 5 ประเภท ของทาง กทม. ก็ได้เกิดเสียงวิจารณ์เป็นจำนวนมากถึงการตัดสินใจครั้งนี้
หนึ่งในผู้วิจารณ์การกระทำดังกล่าวก็คือ นาย ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ได้ออกมาวิจารณ์ถึงการกระทำของ รัฐบาล ที่มีความสับสน และได้ชี้แจงว่าในช่วงเวลาสถานการณ์วิกฤตินี้ รัฐบาลไม่ควรสร้างความวุ่นวาย และความขัดแย้งในการดำเนินการ
โดยเนื้อหาของโพสต์ดังกล่าวนั้นมีด้วยกันดังนี้
ความ “วัว” ไม่ทันหาย ความ “ควาย” เข้ามาแทรก
ผมไม่รู้จะเข้าใจรัฐบาลอย่างไรดี? เพราะเชื่อว่าแม้แต่รัฐบาลเอง ก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเสียเท่าไหร่ วันนี้เอาอย่าง ยังไม่ทันพรุ่งนี้เปลี่ยนซะแล้ว
อยู่ด้วยกันแท้ๆ บ่าย กทม. ออกคำสั่งผ่อนปรน ให้เปิดกิจการ 5 ประเภท บรรดาร้านนวด สถานเสริมความงาม เตรียมตัวเปิดร้านกันจ้าละหวั่นด้วยความดีใจ แต่พอคล้อยค่ำ ศบค. ประกาศยกเลิกคำสั่งของ กทม. ว่า “ช้าก่อนยังไม่ถึงเวลา”
นี่เล่นอะไรกันอยู่ครับ? รัฐบาลไปป่วนสังคมทำไมไม่ทราบ? ในภาวะวิกฤตอย่างนี้ ควรจัดการให้สังคมอยู่นิ่ง ทุกอย่างให้รัฐบาลสั่งการเดินไปในแนวทางเดียวกัน ไม่ใช่ภายในวันเดียว ยังออกคำสั่งขัดแย้ง ยกเลิกกันเหมือนเล่น “โป้งแปะ”
ช่วยกรุณาเลิกทำตัวเหมือนเด็ก แล้วทำงานให้ประชาชนรู้สึกมีที่พึ่งสักหน่อยเถอะ บริหารบ้านเมืองไม่เป็น ก็ทำตัวให้เข้าท่ากว่านี้ การออกคำสั่งใดๆ ไม่ควรทำให้สังคมประชาชนสับสน
แนะนำ : รีวิวหนังไทย | คู่มือพ่อแม่มือใหม่ | แม่และเด็ก | เรื่องผี | แคคตัส กระบองเพชร